เทศน์เช้า

ไตรสรณคมณ์

๑๖ มิ.ย. ๒๕๔๓

 

ไตรสรณคมน์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันพระพระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น วันพระ วันนี้วันพระ วันพระพระพุทธเจ้าสอนอย่างที่ว่า การเกิดและการตายเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ให้ดูตรงนั้นเลยนะ แก้ไขตรงนี้เลย ตรงที่ว่าสุดท้ายของศาสนาพุทธเราคือว่า อยู่โดยมีชีวิตโดยไม่มีการตายอีกเลย ชีวิตนี้จะดำรงสืบตลอดไป คือว่าตั้งแต่วันที่อวิชชาขาดออกไปจากใจแล้ว การตายการเกิดนั้นเป็นสมมุติ นี้พูดถึงว่ามันทำไม่ถึง ทำไม่ถึงว่าเราทำกันไม่ได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ในหลักศาสนานี้ประเสริฐที่สุด

แต่หลักการน่ะ อันนี้เป็นจุดหัวใจ ฉะนั้นพระจะคุยกันน่ะ เรื่องสัลเลข ๑๐ มักน้อย สันโดษ ในเรื่องของการเกาะเกี่ยวไง ถ้าเราทำไป อย่างเช่นการก่อสร้างนี่เป็นบุญกุศลนะ เรื่องการสร้างโบสถ์วิหารนี่เป็นบุญกุศลอยู่ แต่ทำไมพระพุทธเจ้าไม่ให้สร้างล่ะ พระพุทธเจ้าไม่ให้สร้างนะ พอพระพุทธเจ้าจะสร้างขึ้นมา นางวิสาขาขอสร้างวัดนี่ ให้พระโมคคัลลานะเป็นคนไปดู คือว่าให้พระอรหันต์ผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วไปควบคุม มันจะได้ไม่บานปลายไง การก่อสร้างเป็นบุญกุศล แต่พระพุทธเจ้าไม่ให้สร้าง พระพุทธเจ้าเวลาพระคุยกันให้พระคุยกันในเรื่องสัลเลข ๑๐ เรื่องสัลเลขไง เรื่องมักน้อย เรื่องสันโดษ เรื่องพูดถึงเรื่องความเพียร เรื่องการชำระกิเลสถึงที่สุด นี่หัวใจของศาสนา

แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ให้ศึกษาเล่าเรียนเป็นปริยัติไป ปริยัติคือให้เรียนศึกษาปริยัติ แล้วพยายามทำดำรงชีวิต นี่การสืบต่อศาสนา การได้พบสมณะไง การได้เห็น การได้เป็นลูกศิษย์นี่ เป็นมงคลอย่างยิ่ง แม้แต่พบพระพุทธเจ้า พบพระอรหันต์ก็ว่าอย่างนั้นเลย พบผู้ที่บริสุทธิ์สงบไง การได้เห็นผู้ที่สงบบริสุทธิ์นั้นเป็นบุญกุศลอย่างยิ่ง เป็นบุญกุศล เห็นไหม

แล้วการได้สัมผัส อย่างเช่นพระเทวทัต ถ้าพระเทวทัตไม่ได้บวชนะ จะทำลายตนเองมากกว่านี้อีก พระพุทธเจ้าทำไมรู้ว่าพระเทวทัตบวชเข้ามาแล้วนี่จะมาทำสังฆเภทหนึ่ง จะมาทำพระพุทธเจ้าให้ห้อเลือดหนึ่ง แต่ผลของการที่ว่า ถ้าได้เป็นสัมมาทิฏฐิไง คือให้ถือศาสนา ผลบุญกุศลอันนั้นจะทำให้การทำบาปนั้นน้อยลงไป นี่ขนาดทำบาปน้อยลงไปพระเทวทัตยังทำลายศาสนาขนาดนี้ ถ้าเข้ามาในศาสนาแล้วให้เป็นสัมมาทิฏฐิ คือว่าเข้ามาในศาสนา เชื่อในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้เชื่อแล้ว เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ก็ยังไม่เชื่อ มันไม่ได้เชื่อคือว่ายังทำลาย ยังแข่งกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แล้วยังได้ตกนรกไปขนาดนั้น

นี่การที่ได้เข้ามาเป็นสัมมาทิฏฐิ เห็นไหม ถ้าบวชในศาสนาแล้ว เราภาวนาไม่ได้ก็จริงอยู่ การภาวนามันต้องมีอาศัยวาสนาบารมีพอสมควร แต่ถ้าภาวนาไม่ได้ ก็การทำอย่างนี้คือการสร้างวาสนา วาสนาบารมีลอยมาจากฟ้าเหรอ? วาสนาบารมีเกิดจากมือของเราใช่ไหม? เราต่างหากเป็นคนสร้างอำนาจวาสนาให้เราเอง ฉะนั้น เมื่อมันทำไม่ถึงตรงนั้น การที่เราดำรงชีวิตอยู่นี้ นี่ก็คือกำลังเติมไฟ เติมวาสนาบารมีให้ตัวเองมีบุญกุศลมากขึ้น ๆ

ทีนี้การเติม ดูสิ เราเติมน้ำมันรถ เห็นไหม ยังต้องเติมน้ำมันรถ ต้องมีเด็กเติมน้ำมันรถ อันนี้เราเติมบุญกุศลของเรา เราต้องเติมของเราเอง การกระทำอันนี้มันถึงเป็นทุกข์เป็นยาก เพราะมันดัดแปลงตน การดัดแปลงตนอยู่ในศีลในธรรม เห็นไหม การดัดตน นั้นการเติมวาสนาบารมี แล้วอยู่ใกล้ชิดครูบาอาจารย์ เห็นไหม ใกล้ชิดครูบาอาจารย์นั้นน่ะ ทำแล้วมันเป็นผลประโยชน์กลับมา

ดูอย่างที่ว่าพบสมณะนี่สำคัญที่สุดอยู่แล้ว ยังได้อุปัฏฐาก หลวงปู่ฝั้นน่ะ ตอนที่ไปอยู่กับหลวงปู่มั่น ท่านเป็นมหานิกาย แล้วเวลาหลวงปู่มั่นเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาท่านก็ไปนั่งอยู่ไกล ๆ ไง แล้วพระองค์อื่นได้อุปัฏฐาก หลวงปู่ฝั้นคิดขึ้นมา เรานี่มาศึกษาเล่าเรียนกับหลวงปู่มั่น แต่เราไม่มีโอกาสได้อุปัฏฐาก เห็นไหม การได้อุปัฏฐากอุปถัมภ์พระที่เป็นสมณะแล้วนี่ บุญกุศลมันเกิดขึ้นมา จนหลวงปู่ฝั้นคิดญัตติขึ้นมาเป็นธรรมยุติ แล้วก็ได้อุปัฏฐากหลวงปู่มั่นสมใจ แล้วได้ชำระกิเลสสิ้นไปสมใจ

นี่การสร้างอำนาจวาสนาบารมีของตัวมันก็อยู่ตรงนั้น เห็นไหม อยู่ได้เห็นนี่มันก็มีบุญกุศลขึ้นมาอันหนึ่ง ได้อุปัฏฐากอุปถัมภ์มีบุญกุศลมากขึ้น เห็นไหม “อานนท์ เธออย่าเสียใจไปเลย เราดับกิเลสแล้ว เธอจะสิ้นกิเลสไปในข้างหน้า” พระอานนท์อุปัฏฐากขนาดนั้น แล้วบุญกุศลของพระอานนท์นี่มหาศาล

เวลาที่ว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ใคร ๆ ก็อยากเห็นพระอานนท์ เพราะเห็นพระอานนท์ก็เหมือนกับเห็นพระพุทธเจ้า เพราะเมื่อก่อนเห็นพระอานนท์กับพระพุทธเจ้ามาด้วยกัน แต่ปัจจุบันนี้ไม่เห็นพระพุทธเจ้า เห็นพระอานนท์ ก็เป็นองค์สืบต่อ ๆ ไป จน ๑๒๐ ปี เห็นไหม อายุ ๑๒๐ ปี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วนะ สอนอยู่ ๔๕ ปี

พระอานนท์นี่ตอนที่อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เทศน์สอนพระมาตลอด แล้วพอพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ยังสอนไปอีก ๔๐ ปี เห็นไหม อายุ ๘๐ เท่ากับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะเกิดปีเดียวกัน เป็นสหชาติมาด้วยกัน แต่จาก ๘๐ ปี เป็น ๑๒๐ ปีน่ะ อีก ๔๐ ปีที่เป็นเวลาของพระอานนท์ที่ว่าเผยแผ่ศาสนาไป

จนเวลาพระอานนท์จะดับขันธ์ จะนิพพาน ขึ้นไปทำเตโชธาตุ ระหว่างญาติข้างพ่อกับญาติข้างแม่จะแย่งศพกันไง ขึ้นไปบนอากาศ นี่มหัศจรรย์ขนาดที่ว่าไปตายบนอากาศนะ มีพระอรหันต์องค์เดียวตายบนอากาศ แยกออกจากกัน กายซีกหนึ่งตกฝั่งญาติข้างแม่ ซีกหนึ่งตกไปฝั่งญาติข้างพ่อ เพื่อจะไม่ให้เกิดมีการบาดหมางกัน

นี่ผู้ที่อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า เห็นไหม อุปัฏฐากพระพุทธเจ้าได้บุญกุศลขนาดนั้น นี้อุปัฏฐากครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน หลวงปู่ฝั้นถึงได้...นี่ท่านเล่าต่อ ๆ กันมา ลูกศิษย์ลูกหาเล่ากันมาไง ไปเห็นแล้วนี่ จากเป็นมหานิกายเข้ามา มาเชื่อในศรัทธา นี่ความศรัทธา ฉะนั้น ถ้าเราปฏิบัติไม่ได้ในศาสนาแล้วนี่ เราก็สร้างสมบารมีของเราไป ดีกว่าใช้ชีวิตสุรุ่ยสุร่าย

ชีวิตเรานี่เกิดขึ้นมาแล้วต้องตายไป จุดสุดยอดของในศาสนาปัจจุบันนี้ ศรัทธาเห็นไหม ศรัทธาก็เข้ามาบวชเป็นศากยบุตร นี่ศรัทธาสูงสุด ในชาวพุทธเรานะ จากศรัทธาในศาสนา ศรัทธาคือว่าเป็นศากยบุตรนี่เป็นนักรบแล้ว เป็นผู้ที่จะก้าวพ้นออกจากกิเลสไป แต่พยายามรบแล้ว รบไม่ได้นี่ เราก็สร้างสมบุญญาธิการไป สร้างสมบุญบารมีของเราไป เราสร้างของเราได้ เราต้องสร้างของเราเอง ใครจะสร้างให้เราไม่ได้หรอก

นี้มันเป็นความทุกข์ความยาก แล้วต้องบอกว่าอันนั้นเป็นกิเลส กิเลสอันนี้มันเกิดดับ ๆ ในใจของเรา แต่ธรรมทำไมไม่เกิดล่ะ? เพราะเราอ่อนแอ เราทำไม่จริงไม่จัง ถ้าเราจริงจังขึ้นไปนี่ กิเลสมันต้องยุบยอบลงไป แล้วความคิดอันนี้ ธรรมอันนี้คือความคิด ความคิดเวลาฝ่ายธรรมมันเกิดขึ้นไง ว่า “เราก็มีวาสนาบารมี เราก็เป็นศากยบุตรอยู่ เราเป็นลูกของพระพุทธเจ้า เราปฏิบัติอยู่นี่” อันนี้ถ้ามีสิ่งนี้เกิดขึ้น ชีวิตในสมณะเรานี่จะอบอุ่น ชีวิตของนักบวชมันก็มีความพอใจ เป็นไปได้ไง

แต่ถ้าชีวิตไม่คิดถึงตรงนี้ นี่กิเลสมันขึ้นมา กิเลสมันขึ้นมาก็อย่างที่ว่านี่ ที่พระเสียไป ๆ เสียไปอย่างนั้น เริ่มออกไปเรื่องข้างนอก เห็นไหม ที่ว่าเรื่องการก่อสร้างนี้ แม้แต่ว่าเป็นบุญกุศล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังให้พระโมคคัลลานะเป็นผู้ที่คอยควบคุมการก่อสร้าง ไม่ให้ขยายบานปลายไป เพราะกิเลสมันมีแต่การเกาะเกี่ยว กิเลสมีแต่ความยึดมั่น มีลามปามไป เรื่องของกิเลสนี่เป็นเรื่องที่ว่าลามปามไป ถ้าเรายังมีกิเลสอยู่ การก่อสร้างนั้นเป็นบุญกุศล แต่คนที่ไปสร้างนั้นมีแต่ความทุกข์ มีแต่ความวิตกกังวล มีแต่ความคิดอยากขยายต่อไปข้างหน้า นั้นเรื่องการก่อสร้างในศาสนานะ

แล้วเรื่องสอนอย่างที่ว่านี่ เรื่องการดูเจ้า เรื่องการดูหมอ เรื่องอะไรนี่ มันเป็นติรัจฉานวิชา เห็นไหม ตัวเองรู้อยู่ ถึงจริง...จริงก็เป็นความจริงอันหนึ่ง จริงนี้ก็เป็นสมมุติ เพราะมันเป็นสมมุติ จริง ทายถูกจริง ๆ นี่แหละ แต่มันก็เป็นสมมุติคือว่า คนเราเกิดมาต้องตายทั้งหมด เรื่องกรรม เรื่องบุญกุศลนี้ต้องเกิด ต้องมี ต้องสัมผัสทุกดวงใจไป มีสูงมีต่ำ ถึงจะดูจริงมันก็เป็นสมมุติ มันเป็นของชั่วคราว มันไม่เป็นวิมุตติ วิมุตติคือหลักการความจริง

นี่ถึงว่าจริงแล้วก็ยังสร้างให้เป็นการเกาะเกี่ยว เป็นเครื่องเนิ่นช้า ถึงว่าเป็นติรัจฉานวิชา ติรัจฉานวิชาหมายถึงวิชาที่ทำให้เราเนิ่นช้า เวลาที่จะควรประพฤติปฏิบัติ เวลาที่จะชำระกิเลส ก็เอามานั่งดูหมอกัน ช้าไหม? มันเป็นเรื่องของการเนิ่นช้า เรื่องนี้ก็ผิดไปแล้ว นี่ถ้าติรัจฉานวิชา แล้วนี่เป็นติรัจฉานวิชาในวิชาชีพนะ แล้วถ้าเกิดมีความเชื่อจริง ๆ ขึ้นไป นี่ไตรสรณคมน์ขาดไง ไตรสรณคมน์ให้เชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น เชื่อธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น นี้พรหมศาสตร์มันก็ลัทธิศาสนาต่าง ๆ มีมาดั้งเดิมไง

แต่ศาสนาพุทธไม่ได้สอนตรงนั้น ถึงว่าเป็นเรื่องของนอกศาสนาก็ว่าได้ เป็นเรื่องนอกศาสนาเลย เรื่องศาสนา เรื่องอริยสัจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรค ๘ ทำให้พ้นทุกข์ไป นี้คือเรื่องของศาสนา เรื่องของนอกศาสนานี่อาศัยเรื่องศาสนาไป แต่เอาศาสนานี้เป็นตัวเครื่องดำเนินไป ว่าอันนี้ชาวพุทธสอนอย่างนั้นไง พระต้องอุปถัมภ์ค้ำจุนโลก พระต้องเป็นหมอนะ รักษาโรค พระรักษาโรคเมื่อก่อนนั้นเพราะเป็นศีลธรรมจริยธรรม อันนี้เมื่อก่อนโบราณเรานี่ วัดนี้เป็นทั้งโรงพยาบาล เป็นทั้งโรงเรียน เป็นทุกอย่างหมดเลย เพราะวัดเป็นจุดศูนย์รวมของสังคม

แต่เดี๋ยวนี้ขยายออกไปแล้ว แล้วสังคมเขารับอย่างนั้นได้ ต้องการพระให้ชำระกิเลสอย่างเดียว ถ้าชำระกิเลสไม่ได้ ทำอย่างนั้นไปนั่นก็เป็นเครื่องว่าเสริมสร้างบารมี อยู่ที่ว่าเสริมสร้างบารมีอันหนึ่ง แต่ถ้าเชื่ออันนั้น เรายึดอันนั้นไปนี่ เราขาดจากไตรสรณคมน์อันนั้น เห็นไหม มันเศร้าหมองนะ ชีวิตของสมณะมันเศร้าหมอง นั้นพระถึงเป็นอย่างนั้นด้วย มันก็เป็นไป สังคมเป็นไป

ถ้าเราตั้งใจจริง นี่ถึงว่าพวกเรานี่มีวาสนาบารมี เกิดมาพบครูบาอาจารย์ที่หันกลับมารื้อฟื้นในแนวของอริยสัจขึ้นมาไง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคขึ้นมา แล้วเราก้าวเดินต่อไป แต่ก่อนถ้ามีแต่ตำรา ทุกคนก็ค้นคว้าเอา เวลาว่าวาสนาบารมีพระพุทธเจ้าต้องค้นคว้าเอง เรานี่มีวาสนา มีคนเอามาป้อนให้ถึงมือ ชุบมือเปิบก็ยังเปิบไม่ได้ ตำราสอนไว้หมดแล้ว เรายังทำกันไม่ได้เลย อำนาจวาสนาเราขนาดไหน นี่ย้อนกลับมาให้เรา ที่ตัวเรา แล้วพยายามคิดของเราขึ้นมา มันก็จะเป็นกำลังใจ กำลังใจให้เรามีชีวิตอยู่ มีความสุขพอสมควร เอวัง